หิ่งห้อยตัวจ้อยฝูงใหญ่สว่างไสวอยู่ใต้ลำพูเปล่งแสงสื่อสารกันอยู่ ให้รู้ใครควรคู่ใคร หิ่งห้อยตัวน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งไร้หิ่งห้อยรู้ใจเปล่งแสงสีเขียวไกลๆบินไปบินมาเพียงลำพัง เหลือบเห็นมีแสงนวลใหญ่ สว่างไสวอยู่บนฟากฟ้าหลงรักแสงนั้นขึ้นมาหารู้ไม่ว่าเป็นดวงจันทร์บินขึ้นบนฟ้าเต็มที่แม้มีหิ่งห้อยทัดทาน ความรักกำลังเบ่งบาน คำค้านเป็นอันตกไป ทะยานขึ้นไปเนิ่นนาน แต่เหมือนแสงนั้นก็ยังห่างไกล ยิ่งบินยิ่งสูงขึ้นไป พายุโหมใส่ ให้มันเหน็บหนาว ร่างกายเริ่มจับตัวแข็ง หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะไขว่คว้าดาว ดับแสงที่เคยวับวาว ปีกน้อยปวดร้าว หล่นร่วงลงดิน ตื่นขึ้น มีเพื่อนฝูงใหญ่ สว่างไสว เข้ามาห้อมล้อม หิ่งห้อยซาบซึ้งอ่อนน้อม มันน่าจะยอมเชื่อฟัง เหลือบมอง เจ้าแสงนวลใหญ่ ที่ใจไม่เคยระวัง ไม่มองถึงความแตกต่าง อ้างเพียงความรักเรื่อยไป หิ่งห้อย ตัวจ้อยฝูงใหญ่ สว่างไสว อยู่ใต้ลำพู เปล่งแสงสื่อสารกันอยู่ ให้รู้ใครควรคู่ใคร หิ่งห้อย ตัวน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งพบหิ่งห้อยรู้ใจ เปล่งแสงสีเขียวสดใส บินไปบินมา...คู่กัน
ตำนานหิ่งห้อย
ความเชื่อของคนมาเลเซีย พวกโอรังดูซัน ซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมือง เชื่อว่าหิ่งห้อยเป็นวิญญาณของคนตาย
ส่วนคนมาลายูก็เชื่อว่าหิ่งห้อยเกิดจากเล็บมือมนุษย์ในอินเดียมีคนเชื่อว่าหิ่งห้อยคือนัยน์ตาของเทพเจ้าที่หลงเหลืออยู่ หลังจากสงครามซึ่งความเป็นอยู่ส่วนใหญ่ ส่วนเนื้อหนังและกระดูกโดนโยนลงแม่น้ำและเน่าเปื่อยไปแล้วเหลือเพียงนัยน์ตาที่ส่องแสงได้ในความมืดในอินเดียยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดหิ่งห้อยด้วยว่า หิ่งห้อยเกิดจากความร่วมมือของเทพ 3 องค์ เพื่อให้มนุษย์เลิกกินอาหารดิบและมีไฟเอาไว้ใช้ โดยเทพองค์แรกเป็นแมลงตัวหนึ่งปั้น มาจากขี้ไคลของพระองค์ อีกพระองค์ถูพระ
วรกายของพระองค์เองจนเกิดไฟลุกขึ้น แล้วก็เอาไฟไปติดที่แมลงตัวนั้น ส่วนอีกพระองค์ก็รีบนำแมลงตัวนี้ส่งให้มนุษย์อย่างเร่งด่วน แต่ระหว่างทางไฟก็ค่อย ๆ มอดลง เหลือเพียงที่ก้นแมลงอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งแมลงตัวนี้ก็คือ หิ่งห้อยตัวแรกนั่นเองชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของคนตายตามที่ ส.พรายน้อย (นักเขียนผู้หนึ่ง) เล่าว่าในฤดูร้อนริมฝั่งแม่น้ำอูจี (ในญี่ปุ่น) ฝูงหิ่งห้อยที่อยู่คนละฟากของแม่น้ำจะยกพลเข้ารบกัน พวกที่แพ้ก็จะตกลงไปในน้ำ ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายชาวบ้านจึงจับกลุ่มกันดูความงามอันน่าประหลาดนี้และกล่าวว่า นี่คือนิสัยคุมถิ่นที่ติดตัวมาครั้งที่ยังเป็นมนุษย์และหิ่งห้อยนี่คือ วิญญาณของ 2 ตระกูลนักรบในอดีตที่รบรากันมาแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนอดีตมีการใช้ประโยชน์หิ่งห้อยเป็นโคมไฟราคาถูกสำหรับชาวบ้าน ในจีนและญี่ปุ่น นักศึกษาที่ยากจนจะจับหิ่งห้อยใส่ภาชนะต่างตะเกียงเพื่อใช้อ่านหนังสือในเวลากลางคืน ที่จาไมก้าหิ่งห้อยมีขนาดใหญ่ให้แสงสว่างมากเพียงแค่ 6-7 ตัวก็ให้แสงสว่างเพียงพอกับการอ่านหนังสือแล้ว ที่บราซิลจะจับหิ่งห้อยมาใช้ในพืชพวกน้ำเต้า เจาะรูรอบ ๆ ใช้แทนตะเกียงในกระท่อม บางครั้งชาว บราซิลจะจับหิ่งห้อยมาประดับในเรือนผม หรือไม่ก็ผูกไว้ที่ข้อเท้าขณะเดินป่า
ชาวปานามาที่ยากจนนิยมจับหิ่งห้อยใส่ในกรงกระดาษเล็ก ๆ เพื่อนำมาติดเป็นต่างหูในประเทศไทยก็มีตำนานที่สืบทอดกันมานานกล่าวว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงโคมตามหาหญิงคนรักที่ชื่อนางลำพูซึ่งจมหายไปในแม่น้ำ เพราะฉะนั้นลำพูจึงเป็นต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นวิญญาณของคนรักตน
นิทานหิ่งห้อย
เมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรแห่งความฝันดินแดนที่มีแต่หิมะสีขาวโพลน หิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเกือบทั้งปี ทุกสิ่งในอาณาจักรนี้ล้วนเป็นสีขาวสะอาด ไม่มีรอยด่างพร้อยหรือมลทินใดๆ ยามเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน หิมะบางส่วนในทุ่งนาป่าเขาพากันละลาย หลั่งรินเป็นสายธาราที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันผลิใบสีเงินรับแสงอาทิตย์ บรรดาดอกแดนดีไลอ้อนต่างแข่งกันชูช่อไสวด้วยความงดงามที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลา ดินแดนแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า ดินแดนแห่งความงามนิรันดร์
ดินแดนนี้เป็นที่พำนักของเจ้าหญิงแห่งความฝันและจินตนาการ พระองค์มีบริวารคือนางฟ้าแห่งความฝันมากมาย เหล่านางฟ้าจะ คอยนำเมล็ดพันธุ์แห่งความฝันและจินตนาการไปหว่านโปรยลงในหัวใจของมนุษย์และพสกนิกรของพระองค์ในยามหลับใหล
หิมะขาวพราวพร่าง งดงามสล่าง
เหนือธารแห่งกาลเวลา
งามเจ้างามนักหนา งามกว่าหิมะใด
ที่สถิตภายในโลกหล้า
นี่คือส่วนหนึ่งของบทกลอนซึ่งกวีพรรณนาถึงความงามแห่งดินแดนรวมทั้งเจ้าหญิงผู้มีใบหน้าอันอ่อนหวานงดงาม เรือนผมสีเงินยวง ผิวขาวเนียนอมชมพู
วันหนึ่งเจ้าหญิงแห่งความฝันเดินเล่นยังทุ่งดอกไม้ในดินแดนของมนุษย์ มวลดอกไม้พากันเบ่งบานอวดความงามทั่วท้องทุ่ง ระหว่างที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้อยู่นั้นพลันเหลือบสายตา ไปพบชายผู้หนึ่งยืนอย่างเคร่งขรึม ณ ริมทุ่ง เจ้าหญิงจึงก้าวไปหา
เขาคือเจ้าชายแห่งเหตุผลและความจริง ผู้ซึ่งจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุผล ความฝันและจินตนาการเป็นสิ่งที่ไร้สาระ อาณาจักรแห่งความจริงของเจ้าชาย มีเวทมนตร์อันแก่กล้า หากแต่สรรพสิ่งต้องเป็นไปตามครรลองของกระแสธารแห่งกาลเวลา ผลิบานร่วงโรย ก่อเกิดเสื่อมสลาย
เจ้าชายเป็นคนเงียบขรึม สวมแว่นตา เมื่อเขาเห็นเจ้าหญิงเดินเข้ามาใกล้ จึงร่ายเวทย์ทำลายทุ่งดอกไม้ทิ้งและหันหลังเดินจากไปทันที
หยุดก่อน เสียงเจ้าหญิงแห่งความฝันตะโกนไล่หลัง เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจกับการกระทำของเจ้าชายอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะประทับใจในตัวเขาก็ตาม ทำไมท่านต้องทำลายทุ่งดอกไม้ที่สวยงามนี้ เจ้าหญิงเอ่ยถาม
เพราะมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระยังไงล่ะ เจ้าชายตอบกลับมาด้วยท่าทีเย็นชาก่อนจากไป
ทุกครั้งที่พบกัน เจ้าชายยังคงทำลายสิ่งต่างๆที่เจ้าหญิงชื่นชอบด้วยเหตุผลเดิม เขาไม่เคยที่จะรับรู้ความในใจของเจ้าหญิงเลยแม้สักครั้งและอาจรวมถึงความในใจของตนเองด้วย
ท่านมันคนไม่มีหัวใจ เจ้าหญิงแห่งความฝันตัดพ้อ เมื่อเจ้าชายแห่งความจริงทำลายฝูงผีเสื้อสีรุ้งของเธอ
มันคือสิ่งไร้สาระ เจ้าชายตอบกลับเช่นเดิม แต่คำว่า คนไม่มีหัวใจได้ติดตราอยู่ในหัวของเจ้าชายแล้ว โดยที่เขามิอาจรู้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับเจ้าหญิงของเขา
ความรักคือสิ่งที่เพ้อฝันไร้สาระ เจ้าชายแห่งความจริงคิด
ในอาณาจักรแห่งความงามนิรันดร์ของเจ้าหญิง หิมะมีรอยด่างพร้อย ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเหี่ยวเฉา เหล่านางฟ้าแห่งความฝันลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาณาจักรแห่งนี้มิอาจคงความงามนิรันดร์ไว้ได้อีกแล้ว
ความเสื่อมโทรมของอาณาจักรแห่งความฝันมีต้นเหตุมาจากเหล่ามนุษย์ผู้ดูแคลนความฝันและจินตนาการ ก่อให้เกิดอสูรแห่งความไม่เชื่อ ซึ่งรังแต่จะทวีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ว่าเจ้าหญิงแห่งความฝันจะพยายามลงมือแก้ไขเช่นไร
เมื่อมีกำลังมากพอ เหล่าอสูรได้กรีฑาทัพเข้ารุกรานอาณาจักรของเจ้าหญิง ทันทีที่พวกอสูรเหยียบย่างลงบนผืนดินในอาณาจักรแห่งความฝัน เวทมนตร์ซึ่งคุ้มครองอาณาจักรอยู่เสื่อมลง ดินแดนแห่งความงามนิรันดร์จึงตกอยู่ในห้วงของกระแสธารแห่งกาลเวลา
เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนบนพื้นหิมะสีขาว ต้นไม้ถูกโค่นทำลาย ต้นหญ้าถูกเหยียบย่ำแหลกเหลว หิมะละลายเจิ่งนองพื้น หมอกควันสีดำปกคลุมไปทั่วอาณาจักร บดบังท้องฟ้าสีครามและแสงอาทิตย์เอาไว้ บัดนี้อาณาจักรแห่งความงามนิรันดร์ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
เจ้าหญิงแห่งความฝันปลอมแปลงตัว หลบหนีมายังอาณาจักรแห่งความจริงของเจ้าชาย แต่ด้วยอำนาจมนตราแห่งอาณาจักร ทำให้เจ้าหญิงไม่สามารถเข้าไปได้
เธอจึงร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าชาย แต่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสงครามที่เกิดขึ้น จนไม่ได้ยินเสียงของเจ้าหญิง
พวกอสูรยกทัพมาถึงและต่อสู้กับเจ้าหญิง ทว่าเมื่ออาณาจักรของพระองค์ล่มสลายลง พลังเวทย์จึงเสื่อมถอย พวกอสูรได้รับชัยชนะ พวกมันร่ายเวทย์ทำลายเจ้าหญิงเสีย
เมื่อเจ้าชายรู้สึกตัวและรุดออกมาจะช่วยเจ้าหญิง แต่ช้าไป เธอกำลังกลืนหายไปกับธาตุอากาศ เธอมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย
กว่าที่เจ้าชายจะรู้ตัวว่ารักเจ้าหญิงเพียงใดก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาได้สูญเสียเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักไป
หลังจากนั้นไม่นาน อาณาจักรแห่งความฝันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันและจินตนาการจักโปรยปรายอีกครา เมื่อเจ้าชายแห่งความจริงทราบข่าว เขาเฝ้ารอทุกวันอย่างมีความหวังว่า เมื่อไรเจ้าหญิงของเขาจะกลับมา
แต่มันมิได้เป็นเช่นที่หวัง เจ้าหญิงที่เขาพบกลับมิใช่เจ้าหญิงองค์เก่า หากเจ้าชายยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง หวังว่าสักวันเจ้าหญิงของเขาจะกลับมา
เจ้าชายแห่งความจริงรังสรรค์สิ่งต่างๆที่งดงามมากมายให้แก่โลก เขายังคงยืนอย่างเดียวดาย ณ ทุ่งดอกไม้ที่ได้พบกับเจ้าหญิงแห่งความฝันครั้งแรก
เธอไปอยู่ที่ไหนกัน ทำไมถึงไม่กลับมาหาฉัน
หยาดน้ำตาของเจ้าชายกลายเป็นหิ่งห้อยที่คอยกระพริบแสงวิบวับ เพื่อว่ามันอาจนำทางให้เจ้าชายไปพบกับเจ้าหญิงของเขา
หิ่งห้อยนับร้อยกระพริบแสง ใสกระจ่างพร่างแพร้วจำรัสหล้า
มุ่งส่องสว่างด้วยรักแลศรัทธา หวังให้เธอคืนมาเช่นดังเดิม
เมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรแห่งความฝันดินแดนที่มีแต่หิมะสีขาวโพลน หิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเกือบทั้งปี ทุกสิ่งในอาณาจักรนี้ล้วนเป็นสีขาวสะอาด ไม่มีรอยด่างพร้อยหรือมลทินใดๆ ยามเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน หิมะบางส่วนในทุ่งนาป่าเขาพากันละลาย หลั่งรินเป็นสายธาราที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันผลิใบสีเงินรับแสงอาทิตย์ บรรดาดอกแดนดีไลอ้อนต่างแข่งกันชูช่อไสวด้วยความงดงามที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลา ดินแดนแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า ดินแดนแห่งความงามนิรันดร์
ดินแดนนี้เป็นที่พำนักของเจ้าหญิงแห่งความฝันและจินตนาการ พระองค์มีบริวารคือนางฟ้าแห่งความฝันมากมาย เหล่านางฟ้าจะ คอยนำเมล็ดพันธุ์แห่งความฝันและจินตนาการไปหว่านโปรยลงในหัวใจของมนุษย์และพสกนิกรของพระองค์ในยามหลับใหล
หิมะขาวพราวพร่าง งดงามสล่าง
เหนือธารแห่งกาลเวลา
งามเจ้างามนักหนา งามกว่าหิมะใด
ที่สถิตภายในโลกหล้า
นี่คือส่วนหนึ่งของบทกลอนซึ่งกวีพรรณนาถึงความงามแห่งดินแดนรวมทั้งเจ้าหญิงผู้มีใบหน้าอันอ่อนหวานงดงาม เรือนผมสีเงินยวง ผิวขาวเนียนอมชมพู
วันหนึ่งเจ้าหญิงแห่งความฝันเดินเล่นยังทุ่งดอกไม้ในดินแดนของมนุษย์ มวลดอกไม้พากันเบ่งบานอวดความงามทั่วท้องทุ่ง ระหว่างที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้อยู่นั้นพลันเหลือบสายตา ไปพบชายผู้หนึ่งยืนอย่างเคร่งขรึม ณ ริมทุ่ง เจ้าหญิงจึงก้าวไปหา
เขาคือเจ้าชายแห่งเหตุผลและความจริง ผู้ซึ่งจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุผล ความฝันและจินตนาการเป็นสิ่งที่ไร้สาระ อาณาจักรแห่งความจริงของเจ้าชาย มีเวทมนตร์อันแก่กล้า หากแต่สรรพสิ่งต้องเป็นไปตามครรลองของกระแสธารแห่งกาลเวลา ผลิบานร่วงโรย ก่อเกิดเสื่อมสลาย
เจ้าชายเป็นคนเงียบขรึม สวมแว่นตา เมื่อเขาเห็นเจ้าหญิงเดินเข้ามาใกล้ จึงร่ายเวทย์ทำลายทุ่งดอกไม้ทิ้งและหันหลังเดินจากไปทันที
หยุดก่อน เสียงเจ้าหญิงแห่งความฝันตะโกนไล่หลัง เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจกับการกระทำของเจ้าชายอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะประทับใจในตัวเขาก็ตาม ทำไมท่านต้องทำลายทุ่งดอกไม้ที่สวยงามนี้ เจ้าหญิงเอ่ยถาม
เพราะมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระยังไงล่ะ เจ้าชายตอบกลับมาด้วยท่าทีเย็นชาก่อนจากไป
ทุกครั้งที่พบกัน เจ้าชายยังคงทำลายสิ่งต่างๆที่เจ้าหญิงชื่นชอบด้วยเหตุผลเดิม เขาไม่เคยที่จะรับรู้ความในใจของเจ้าหญิงเลยแม้สักครั้งและอาจรวมถึงความในใจของตนเองด้วย
ท่านมันคนไม่มีหัวใจ เจ้าหญิงแห่งความฝันตัดพ้อ เมื่อเจ้าชายแห่งความจริงทำลายฝูงผีเสื้อสีรุ้งของเธอ
มันคือสิ่งไร้สาระ เจ้าชายตอบกลับเช่นเดิม แต่คำว่า คนไม่มีหัวใจได้ติดตราอยู่ในหัวของเจ้าชายแล้ว โดยที่เขามิอาจรู้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับเจ้าหญิงของเขา
ความรักคือสิ่งที่เพ้อฝันไร้สาระ เจ้าชายแห่งความจริงคิด
ในอาณาจักรแห่งความงามนิรันดร์ของเจ้าหญิง หิมะมีรอยด่างพร้อย ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเหี่ยวเฉา เหล่านางฟ้าแห่งความฝันลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาณาจักรแห่งนี้มิอาจคงความงามนิรันดร์ไว้ได้อีกแล้ว
ความเสื่อมโทรมของอาณาจักรแห่งความฝันมีต้นเหตุมาจากเหล่ามนุษย์ผู้ดูแคลนความฝันและจินตนาการ ก่อให้เกิดอสูรแห่งความไม่เชื่อ ซึ่งรังแต่จะทวีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ว่าเจ้าหญิงแห่งความฝันจะพยายามลงมือแก้ไขเช่นไร
เมื่อมีกำลังมากพอ เหล่าอสูรได้กรีฑาทัพเข้ารุกรานอาณาจักรของเจ้าหญิง ทันทีที่พวกอสูรเหยียบย่างลงบนผืนดินในอาณาจักรแห่งความฝัน เวทมนตร์ซึ่งคุ้มครองอาณาจักรอยู่เสื่อมลง ดินแดนแห่งความงามนิรันดร์จึงตกอยู่ในห้วงของกระแสธารแห่งกาลเวลา
เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนบนพื้นหิมะสีขาว ต้นไม้ถูกโค่นทำลาย ต้นหญ้าถูกเหยียบย่ำแหลกเหลว หิมะละลายเจิ่งนองพื้น หมอกควันสีดำปกคลุมไปทั่วอาณาจักร บดบังท้องฟ้าสีครามและแสงอาทิตย์เอาไว้ บัดนี้อาณาจักรแห่งความงามนิรันดร์ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
เจ้าหญิงแห่งความฝันปลอมแปลงตัว หลบหนีมายังอาณาจักรแห่งความจริงของเจ้าชาย แต่ด้วยอำนาจมนตราแห่งอาณาจักร ทำให้เจ้าหญิงไม่สามารถเข้าไปได้
เธอจึงร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าชาย แต่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสงครามที่เกิดขึ้น จนไม่ได้ยินเสียงของเจ้าหญิง
พวกอสูรยกทัพมาถึงและต่อสู้กับเจ้าหญิง ทว่าเมื่ออาณาจักรของพระองค์ล่มสลายลง พลังเวทย์จึงเสื่อมถอย พวกอสูรได้รับชัยชนะ พวกมันร่ายเวทย์ทำลายเจ้าหญิงเสีย
เมื่อเจ้าชายรู้สึกตัวและรุดออกมาจะช่วยเจ้าหญิง แต่ช้าไป เธอกำลังกลืนหายไปกับธาตุอากาศ เธอมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย
กว่าที่เจ้าชายจะรู้ตัวว่ารักเจ้าหญิงเพียงใดก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาได้สูญเสียเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักไป
หลังจากนั้นไม่นาน อาณาจักรแห่งความฝันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันและจินตนาการจักโปรยปรายอีกครา เมื่อเจ้าชายแห่งความจริงทราบข่าว เขาเฝ้ารอทุกวันอย่างมีความหวังว่า เมื่อไรเจ้าหญิงของเขาจะกลับมา
แต่มันมิได้เป็นเช่นที่หวัง เจ้าหญิงที่เขาพบกลับมิใช่เจ้าหญิงองค์เก่า หากเจ้าชายยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง หวังว่าสักวันเจ้าหญิงของเขาจะกลับมา
เจ้าชายแห่งความจริงรังสรรค์สิ่งต่างๆที่งดงามมากมายให้แก่โลก เขายังคงยืนอย่างเดียวดาย ณ ทุ่งดอกไม้ที่ได้พบกับเจ้าหญิงแห่งความฝันครั้งแรก
เธอไปอยู่ที่ไหนกัน ทำไมถึงไม่กลับมาหาฉัน
หยาดน้ำตาของเจ้าชายกลายเป็นหิ่งห้อยที่คอยกระพริบแสงวิบวับ เพื่อว่ามันอาจนำทางให้เจ้าชายไปพบกับเจ้าหญิงของเขา
หิ่งห้อยนับร้อยกระพริบแสง ใสกระจ่างพร่างแพร้วจำรัสหล้า
มุ่งส่องสว่างด้วยรักแลศรัทธา หวังให้เธอคืนมาเช่นดังเดิม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)